งานประติมากรรม เป็นการสร้างสรรค์รูปทรงให้มีลักษณะผลงานเป็นสามมิติ มีความกว้าง ความยาว ความสูงหรือความหนา มักจะทำด้วยวัสดุที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปทรงได้ เช่น ดินเหนียว ดินน้ำมัน ปูนปลาสเตอร์ ไม้ หิน เป็นต้น งานประติมากรรม มีเทคนิควิธีการทำได้หลายวิธี เช่น
1. วิธีการแกะสลัก เป็นกระบวนการปฏิบัติงานประติมากรรมทางลบ คือ การแกะสลักเอาส่วนย่อยออกจากส่วนรวม
1. วิธีการแกะสลัก เป็นกระบวนการปฏิบัติงานประติมากรรมทางลบ คือ การแกะสลักเอาส่วนย่อยออกจากส่วนรวม
เทคนิคการแกะสลักไม้ ขั้นตอนและวิธีการแกะสลัก
1. กำหนดรูปแบบและลวดลาย ออกแบบหรือกำหนดรูปแบบและลวดลายนับเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการออกแบบ สำหรับงานแกะสลักต้องรู้จักหลักในการออกแบบ และต้องรู้จักลักษณะของไม้ที่จะนำมาใช้แกะสลัก เช่น ทางไม้หรือเสี้ยนไม้ที่สวนกลับไปกลับมา สิ่งเหล่านี้ช่างแกะสลักจะต้องศึกษาหาความรู้และแบบงานแกะสลักต้องเป็นแบบ ที่เท่าจริง
2. การถ่ายแบบลวดลายลงบนพื้นไม้ นำแบบที่ออกแบบไว้มาผนึกลงบนไม้ หรือนำมาตอกสลักกระดาษแข็งต้นแบบให้โปร่ง เอาลวดลายไว้และนำมาวางทาบบนพื้นหน้าไม้ที่ทาด้วยน้ำกาว หรือน้ำแป้งเปียกไว้แล้วทำการตบด้วยลูกประคบดินสอพองหรือฝุ่นขาวให้ทั่ว แล้วนำกระดาษต้นแบบออก จะปรากฏลวดลายที่พื้นผิวหน้าไม้
3. การโกลนหุ่นขึ้นรูป คือการตัดทอนเนื้อไม้ด้วยเครื่องมือช่างไม้บ้างเครื่องมือช่างแกะสลักบ้าง แล้วแกะเนื้อไม้เอาส่วนที่ไม่ต้องการออกให้ไม้นั้นมีลักษณะรูปร่างที่ใกล้ เคียงกับแบบเพื่อให้เกิดรูปทรงตามต้องการ มีความชัดเจนตามลำดับเพื่อจะนำไปแกะสลักลวดลายในขั้นต่อไป การโกลนภาพ เช่นการแกะภาพลอยตัว เช่น หัวนาคมงกุฎ หรือแกะครุฑและภาพสัตว์ต่าง ๆ ช่างจะต้องโกลนหุ่นให้ใกล้เคียงกับตัวภาพ
4. การแกะสลักลวดลาย คือการใช้สิ่วที่มีความคม มีขนาดและหน้าของสิ่วต่าง ๆ เช่น สิ่วหน้าตรง หน้าโค้ง และฆ้อนไม้ เป็นเครื่องมือในการแกะสลัก เพื่อทำให้เกิดลวดลายซึ่งต้องใช้ฆ้อนไม้ในการตอกและใช้สิ่วทำการขุด การปาดและการแกะลวดลายทำให้เกิดความงามตามรูปแบบที่ต้องการ การขุดพื้น คือการตอกสิ่วเดินเส้น โดยใช้สิ่วที่พอดีกับเส้นรอบนอกของตัวลาย เพื่อเป็นการคัดโคมของลวดลายส่วนใหญ่ทั้งหมดก่อนโดยใช้ฆ้อนตอก เวลาตอกก็ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม สม่ำเสมอเพื่อคมสิ่วจะได้จมลึกในระยะที่เท่ากันแล้วจึงทำการใช้สิ่วหน้าตรง ขุดพื้นที่ไม่ใช่ตัวลายออกให้หมดเสียก่อน ขุดชั้นแรกขุดตื้น ๆ ก่อน ถ้าพื้นยังไม่ลึกพอก็ตอกซ้ำอีกแล้วจึงขุดต่อไปเพื่อให้ได้ช่องไฟที่โปร่งถ้า ต้องการนำลวดลายแกะสลักนั้นไปประดับในที่สูงก็ต้องขุดพื้นให้ลึกพอประมาณ เพราะมองไกล ๆ จะได้เห็น การแกะยกขึ้น หลังจากที่ทำการขุดพื้นแล้วก็แกะยกชั้น จัดตัวลายที่ซ้อนชั้นกันเพื่อให้เห็นโคมลายชัดเจน ซึ่งก้าวก่ายกันในเชิงของการผูกลายเพื่อปรับระดับความสูงต่ำของแต่ละชั้นมี ระยะ 1 – 2 – 3 การแกะแรลาย เริ่มจากการตอกสิ่วเดินเส้นภายในส่วนละเอียดของลวดลายแล้ว ก็จะใช้สิ่วเล็บมือทำการปาดแกะแรลายเก็บแต่งส่วนละเอียด
ข้อสังเกตในการปาดแรตัวลาย
เวลาปาด หรือแกะแรตัวลาย ช่างจำเป็นต้องดูทางของเนื้อไม้หรือเสี้ยนเมื่อเวลาใช้สิ่วก็ต้องปาดไปตาม ทางของเนื้อไม้ คือไม่ย้อนเสี้ยนไม้หรือสวนทางเดินของเนื้อไม้ เพราะจะทำให้ไม้นั้นหลุดและบิ่นได้ง่าย
การปาดแต่งแรลาย คือการตั้งสิ่วเพล่เอียงข้างหนึ่ง ฉากข้างหนึ่ง แล้ว ปาดเนื้อไม้ออกจะเกิดความสูงต่ำไม่เสมอกัน เพื่อทำให้เกิดแสงเงาในตัวลายและมองเห็นให้ชัดเจนตามรูปแบบที่ต้องการ การปาดลายสามารถทำได้ 3 วิธี คือ ปาดแบบช้อนลาย ปาดแบบพนมเส้น คือพนมเส้นตรงกลางปาดแบบลบหลังลาย (ลบเม็ดแตง)
การแกะสลักไม้ จำเป็นต้องมีวิธีการแปลกออกไปแล้วแต่สภาพ เช่น การแกะบานประตู หน้าต่าง อาจใช้ไม้แผ่นเดียวทำได้สำเร็จ แต่การแกะหน้าบาน พระที่นั่งโบสถ์มีขนาดใหญ่ วิธีการแกะจึงต้องเพลาะไม้หลายแผ่นเข้าด้วยกัน แต่อาจจะเรียงต่อกันโดยยึดพอที่จะแก เสร็จแล้วจึงถอดเป็นชิ้นส่วนนำขึ้นไปประกอบทีละแผ่น หรือลวดลายที่ต้องการแสดงรูปเกือบลอยตัวก็แยกแกะต่างหากตามแบบแล้วนำเดือยสลักติดเข้ากับตัวลายหน้าบันนั้น ๆ ต่อไป ในปัจจุบันการแกะสลักก็ยังคงยึดวิธีการแบบโบราณ แต่มีการวิวัฒนาการปรับปรุงเครื่องมือเข้ามาช่วย ก็คือ การใช้เครื่องมือขุดพื้น การลอกแบบลงบนไม้ ซึ่งแต่เดิมใช้วิธีการปรุกระดาษแล้วโรยฝุ่น หรือใช้เขียนลงบนไม้ ก็ใช้พิมพ์เขียนแล้วทากาวผนึกลงบนไม้ แต่ละใช้ได้เฉพาะแกะให้รู้รูปร่าง แต่เมื่อโกลนหุ่นแล้วก็ต้องใช้วิธีการเรียนแบบเดิมซึ่งทำกันมาแต่โบราณ
การแกะสลักไม้ จำเป็นต้องมีวิธีการแปลกออกไปแล้วแต่สภาพ เช่น การแกะบานประตู หน้าต่าง อาจใช้ไม้แผ่นเดียวทำได้สำเร็จ แต่การแกะหน้าบาน พระที่นั่งโบสถ์มีขนาดใหญ่ วิธีการแกะจึงต้องเพลาะไม้หลายแผ่นเข้าด้วยกัน แต่อาจจะเรียงต่อกันโดยยึดพอที่จะแก เสร็จแล้วจึงถอดเป็นชิ้นส่วนนำขึ้นไปประกอบทีละแผ่น หรือลวดลายที่ต้องการแสดงรูปเกือบลอยตัวก็แยกแกะต่างหากตามแบบแล้วนำเดือยสลักติดเข้ากับตัวลายหน้าบันนั้น ๆ ต่อไป ในปัจจุบันการแกะสลักก็ยังคงยึดวิธีการแบบโบราณ แต่มีการวิวัฒนาการปรับปรุงเครื่องมือเข้ามาช่วย ก็คือ การใช้เครื่องมือขุดพื้น การลอกแบบลงบนไม้ ซึ่งแต่เดิมใช้วิธีการปรุกระดาษแล้วโรยฝุ่น หรือใช้เขียนลงบนไม้ ก็ใช้พิมพ์เขียนแล้วทากาวผนึกลงบนไม้ แต่ละใช้ได้เฉพาะแกะให้รู้รูปร่าง แต่เมื่อโกลนหุ่นแล้วก็ต้องใช้วิธีการเรียนแบบเดิมซึ่งทำกันมาแต่โบราณ
เครื่องมือที่ใช้ในการแกะสลัก
- ไม้ ไม้ที่นิยมนำมาใช้ในงานแกะสลัก ได้แก่ ไม้สัก เป็นไม้ที่ไม่แข็งเกินไป มีลายไม้สวยงาม สามารถแกะลายต่างๆได้ง่าย หดตัวน้อย ทนานต่อสภาพดินฟ้าอากาศและปลอดภัยจากปลวก มอดและแมลง ไม้ที่นิยมรองลงมาคือ ไม้โมก ไม้สน ที่สำคัญคือ ไม้ที่นำมาทำการแกะสลักจะ ต้องไม่มีตำหนิ เพราะจะทำให้งานชิ้นนั้นขาดความสวยงาม ค้อนไม้ เป็นค้อนที่มีลักษณะคล้ายตะลุมพุกเล็กๆ ทำจากไม้เนื้อแข็งเช่น ไม้แดง ไม้ชิงชัน
- ค้อนไม้จะเบา และไม่กินแรงเวลาใช้งานและช่วยรักษาด้ามสิ่วให้ใช้งานได้นานอีกด้วย
- สิ่ว เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการแกะสลักมีหลายชนิดได้แก่ สิ่วขุด สิ่วฉาก สิ่วขมวด สิ่วเล็บมือ สิ่วทำ จากเหล็กกล้าที่แข็งและเหนียว ที่สำคัญคือจะต้องลับให้คมอยู่เสมอ
- มีด เป็นมีดเล็กๆ ปลายแหลม ใช้แกะลายเล็กๆ หรือแกะร่อง
- เลื่อย ใช้ในการเลื่อยไม้ส่วนที่ไม่ต้องการออกไป เพื่อขึ้นรูปหรือขึ้นโครงของงาน
- บุ้งหรือตะไบ ใช้ถูตกแต่งชิ้นงานในขั้นตอนหลังจากแกะสลักแล้ว
- กระดาษทราย ใช้ขัดตกแต่งชิ้นงานหลังจากแกะสลักแล้ว
- กบไสไม้ ใช้ไสไม้ให้เรียบก่อนลงมือแกะหรือตกแต่งอื่นๆภายหลัง
- สว่าน ใช้เจาะรูไม้เพื่อแกะหรือฉลุไม้
- แท่นยึดหรือปากากาจับไม้ ใช้ยึดจับไม้
- เครื่องมือประกอบอื่นๆ ได้แก่ ไม้บรรทัด ดินสอ กระดาษลอกลาย กระดาษแข็งทำแบบ
- วัสดุตกแต่ง ได้แก่ ดินสอพอง แลกเกอร์ แชลแลก น้ำมันลินสีด ทินเนอร์ หรือสีทาไม้
ภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการแกะสลัก
2. วิธีการปั้น เป็นกระบวนการปฏิบัติงานประติมากรรมทางบวกคือ การเพิ่มส่วนย่อยเพื่อให้เป็นส่วนรวม
เทคนิคการปั้นปูนปั้น วัสดุและเครื่องมือในการสร้างสรรค์ศิลปะปูนปั้นขั้นการเตรียม
1. นำปูนขาวแช่น้ำสารส้มหมักทิ้งไว้ในถังหมักปูนระยะเวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อลดความเค็มของปูนอีกชั้นหนึ่งก่อน
2. การร่อนปูน นำปูนที่หมักไว้ตามกำหนดเวลา 1 เดือนจนได้ที่แล้วนำมาร่อนบนตะแกรงไม้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเศษปูนก้อนใหญ่ หรือสิ่งที่ปนเปื้อนมากับปูนขาวออกจะทำให้ปูนที่ได้มีเนื้อละเอียดมากยิ่งขึ้น แล้วหมักในน้ำจืดอีกประมาณ 1 สัปดาห์เพื่อลดความเค็มของปู
3. การตากปูน นำปูนที่ได้จากการหมักครั้งที่สองมาตากให้แห้ง วิธีการตากปูนต้องทำให้เป็นก้อน ๆ พอประมาณไม่ใหญ่จนเกินไป เพื่อที่ปูนจะได้แห้งเร็ว ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อปูนแห้งดีแล้วนำมาเก็บไว้ในถังสำหรับเก็บปูนก้อน
4. การบดปูน นำปูนก้อนมาใส่เครื่องบด โดยมีส่วนผสม ปูน 1 กระป๋อง กาวหนังสัตว์ 2 แก้ว กระดาษฟางที่ผ่านการตำมาแล้ว 1 แก้ว ต่อการบด 1 ครั้ง โดยใช้เวลาการบดประมาณ 10 นาที เมื่อบดได้ที่แล้วใช้เหล็กโป๊ว์แซะออกจากเครื่องบดปูน
5. การตำปูน ปูนตำหรือปูนเพชร ช่างปูนปั้นเมืองเพชรมีวิธีการผสมปูนที่มีลักษณะพิเศษ โดยมีส่วนผสมสำคัญ จำนวน 5 อย่าง คือ ปูนขาว 2 ส่วน ทรายละเอียด 1 ส่วน น้ำตาลโตนดหรือน้ำตาลทราย (เดิมใช้น้ำอ้อย) กาวหนัง (เดิมใช้เปลือกประดู่เคี่ยวกับหนังวัว) กระดาษฟาง (เดิมใช้ฟางข้าวที่แห้งแล้ว) นำปูนที่ผ่านการบดแล้วมาตำเพื่อให้เกิดความเหนียวนุ่ม นำปูนที่ตำได้ที่แล้ว ใส่ถุงพาสติกมัดปากถุงให้แน่น พร้อมที่จะนำไปใช้ในการผลิตผลงานต่อไป ซึ่งขั้นตอนการตำปูนนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้น ช่างปูนปั้นต้องสังเกตว่า ปูนที่ตำได้ที่ดีหรือยัง เมื่อเห็นว่าปูนที่ตำใช้ได้แล้วจึงตักใส่ภาชนะหรือถุงพลาสติกเก็บไว้ แล้วเริ่มตำปูนใหม่อีกจนกว่าจะเพียงพอกับงานที่จะปั้น ปูนที่ตำเก็บไว้แล้วจะคงสภาพอ่อนอยู่อย่างนั้น แต่จะต้องไม่ให้ถูกอากาศ เมื่อช่างจะใช้ก็นำไปใช้ได้ทันที ส่วนใหญ่นิยมใส่ถุงพลาสติกแช่ไว้ในน้ำ เวลาจะใช้ค่อยนำออกไปใช้เพื่อมิให้ปูนแข็งตัว
การเตรียมกาวหนังสัตว์ เตรียมกาวหนังสัตว์โดยมีส่วนผสมกาว 17 แผ่น น้ำตาล 7 กิโลกรัม นำมาเคี่ยวให้เข้ากัน
การเตรียมกระดาษฟาง นำกระดาษฟางมาแช่น้ำทิ้งไว้ หลังจากนั้นนำมาตำให้ละเอียด โดยผสมทรายลงไปเล็กน้อย
ขั้นตอนการสรรค์สร้างศิลปะปูนปั้นขั้น
1. การขึ้นโครงแบบ
หากเป็นงานลอยตัว ช่างปั้นจะต้องขึ้นโครงแบบก่อนการปั้่น ภาพติดผนัง ช่างปั้นจะต้องออกแบบเขียนลายลงในกระดาษเพื่อดูรูปแบบเค้าโครงชั้นหนึ่งก่อน
2. การโกลนปูน
การปั้นปูนด้วยปูนตำหรือปูนเพชรนั้น ช่างจะต้องออกแบบเขียนลายลงในกระดาษเพื่อดูรูปแบบเค้าโครงชั้นหนึ่งก่อน เมื่อช่างปั้นร่างแบบแล้ว จะเขียนลายไว้หยาบๆ หรือบางครั้งจะเขียนลายไปพร้อมกับปั้นปูนไปด้วยเมื่อร่างลายแล้ว ช่างจะนำปูนซีเมนต์ปั้นพอก (ถือปูน) ไปตามรูปแบบที่ร่างไว้ ซึ่งเรียกว่า "โกลน" การโกลนด้วยปูนซีเมนต์เพื่อใช้ซีเมนต์เป็นตัวยึด จะเกิดความคงทนไม่หลุดง่าย ช่างจะโกลนไปทีละช่วงของลายจนกระทั่งปูนที่โกลนไว้แข็งตัวจับแน่นดีก็จะนำปูนตำ หรือปูนเพชรขึ้นไปพอกอีกชั้นหนึ่ง
3. การปั้น
หลังจากผ่านขั้นตอนการโกลนปูนเรียบร้อยแล้ว ก็จะเป็นขั้นตอนการปั้น ช่างปั้นจะปั้นตามแบบที่ลูกค้าสั่ง หรือตามที่รับงานมา ช่างปั้นปูนจะใช้เกียงปั้นปูนตามรูปแบบลักษณะของลายที่ร่างไว้
4. การตกแต่งลวดลาย
การตกแต่งลวดลายเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อได้รูปแบบที่ได้สัดส่วนสวยงามแล้ว ช่างปูนปั้นจะตกแต่งด้วยการเขียนลายน้ำทอง ประดับกระจก หรือลงสีตามที่รับงานมา สำหรับการประดับกระจกมักเป็นงานปูนปั้นโบราณ มีราคาถูก แต่ไม่ค่อยคงทน กระจกมักหลุดร่วงง่าย การลงสีจะมีความสวยงามอีกแบบหนึ่ง แต่โดยปกติงานปูนปั้นจะเน้นที่ชิ้นงานต้องแสดงให้เห็นศิลปะการปั้นปูนร้อยเปอร์เซ็นต์ ความงามของปูนปั้นอยู่ที่แสงและเงาของชิ้นงานเวลาที่มอง เนื่องจากการปั้นจะต้องแสดงมิติ เป็นความงามที่ไม่ต้องอาศัยการตกแต่งด้วยวัสดุอื่น ไม่มีการเขียนลาย ลงสี หรือประดับกระจก แต่ช่างปูนปั้นก็เป็นช่างที่มีฝีมือ และมีความสามารถจะเขียนลายน้ำทองลงบนงานปั้นได้ ลงรักปิดทอง และประดับกระจกได้แล้วแต่ผู้ว่าจ้างจะกำหนด สำหรับในปัจจุบันนิยมใช้เครื่องเบญจรงค์มาประดับทำให้เกิดความสวยงาม แต่การประดับด้วยเครื่องเบญจรงค์นี้จะมีราคาค่อนข้างแพง และการประดับสิ่งต่าง ๆ ลงบนงานปั้นก็จะบดบังศิลปะของปูนปั้นลงไปดังได้กล่าวมาแล้วหากเป็นการเขียนด้วยลายน้ำทองหรือลายไทย ช่างปูนปั้นก็มักใช้สีเบญจรงค์ในการเขียนลาย ได้แก่ เขียว น้ำเงินน้ำตาล ฟ้า
ภาพ วิธีการปั้น
3. วิธีการหล่อ เป็นกระบวนการผลิตผลงานประติมากรรมที่ผ่านกระบวนการทางการปั้นมาแล้วนำมาหล่อเพื่อให้ได้จำนวนผลงานมากชิ้นขึ้น และการหล่อนี้จะทำให้รูปที่ปั้นนั้นคงทนถาวร
ภาพ วิธีการหล่อ
4. วิธีการทุบ เคาะ ตี เป็นกระบวนการปฏิบัติงานประติมากรรมที่ทำจากวัสดุประเภทโลหะ เป็นขั้นตอนการกระทำเพื่อให้โลหะนั้นๆเปลี่ยนรูปทรงตามต้องการ
ภาพ วิธีการทุบ เคาะ ตี เพื่อให้โลหะเปลี่ยนรูปทรง